วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

ไบออสไลฟ์ แมนนอส(Bios Life Mannos)

ไบออสไลฟ์ แมนนอส(Bios Life Mannos)

Bios Life Mannos

ขนาดบรรจุ 60 แคปซูล

ราคา 988.00 บาท

ราคาสมาชิก 790.00 บาท

14 PV

รายละเอียด

"ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรจาก ดิอาร์ท อะโลเวร่า ไซเอนท์"

Bios Life Mannos ประกอบไปด้วย โพลีแซคคาไลน์ ที่สกัดจาก อะโลเวร่า ซึ่งจะช่วยในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยจะไปกระตุ้นการผลิตสารไคโตไคน์

Cytokines เป็น ตัวขับเคลื่อนระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยจะไปกระตุ้นเซลล์คุ้มกันต่างๆให้สามารถกำจัดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อโรคอันตรายอื่นๆออกจากร่างกาย ยิ่งกว่านั้น Bios Life Mannos ยังช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันโดยช่วยเพิ่มระดับวิตามินและสารอาหารให้เข้าสู่ระบบชีวภาพได้มากกว่า 300%

อนุมูล อิสระเป็นโมเลกุลเดี่ยวที่ไม่คงที่และเป็นโมเลกุลที่สูญเสียอิเล็กตรอน โมเลกุลตัวนี้ก็จะไปแย่งอิเล็กตรอนจากโมเลกุลข้างๆ โมเลกุลที่ถูกแย่งก็จะไปแย่งอิเล็กตรอนจากโมเลกุลตัวอื่นๆส่งผลกระทบให้ผนัง ของเซลล์ ดีเอ็นเอ และโมเลกุลสำคัญอื่นๆถูกทำลาย ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคภัยไข้เจ็บ บางกรณีอาจเกิดการกลายสภาพของเซลล์ ซึ่งอนุมูลอิสระนี้เป็นต้นเหตุของภาวะการแก่ก่อนวัยอีกด้วย Bios Life Mannos เป็นผู้กำจัดอนุมูลอิสระและป้องกันไม่ให้เกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย สารประกอบอะโลเวร่าใน Bios Life Mannos ไม่เพียงแต่ช่วยฟื้นฟูสุขภาพของคุณจากภายใน แต่ยังต่อต้านความชรา ซึ่งช่วยให้คุณดูดีภายนอกอีกด้วย ในภาวะของการเผชิญหน้ากับการติดเชื้อต่างๆ วิธีตั้งรับที่ดีที่สุดก็คือ Bios Life Mannos

คุณประโยชน์

- เสริมสร้างความแข็งแรงและช่วยกระตุ้นระบบภูมิต้านทานของร่างกาย

- ช่วยต่อต้านเชื้อไวรัส แบคทีเรีย การติดเชื้อต่างๆช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้น

- ช่วยลดการอักเสบติดเชื้อต่างๆ ช่วยส่งเสริมการเคลื่อนไหวของข้อต่อและกล้ามเนื้อต่างๆ

- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหารต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

- ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและริ้วรอยแห่งวัย ส่งเสริมความสวยจากภายในให้ผิวสดใสเปล่งปลั่ง

- ช่วยส่งเสริมให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ชะลอความร่วงโรยตามกาลเวลา

- เสริมสร้างพลังงานสำรองของร่างกายในแต่ละวัน

ส่วนประกอบ
Anthraquinones

- Aloe - emodin

- Aloetic - Acid

- Anthranol

- Aloin A and B

Vitamins

- Vitamins B1, B2, B6

- Vitamin C

- Β-Carotene

- Α-Tocopherol

- Choline

- Folic Acid

Minerals

- Calcium

- Manganese

- Sodium

- Copper

- Magnesium

- Potassium

- Zinc

- Chromium

- Iron

Other

- Mannans

- Arabinogalactan

- Chromones

- ArachidonicAcid

- Gibberillin

- Salicylic Acid

- Lectins

- Mannose

- Aldopentose

วิธีรับประทาน

รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 1-2 ครั้ง พร้อมมื้ออาหาร

คำแนะนำ

- ผู้ที่แพ้เกสรดอกไม้ไม่ควรรับประทาน

วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2553

ธรรมะใกล้ตัว

ถ้าสมมุติว่าสมองคนเป็นคอมพิวเตอร์
หน่วยความจำของแต่ละคน
ก็มีประสิทธิภาพไม่เท่ากันในแต่ละเรื่อง
บางคนจำแม่นเรื่องตัวเลข
บางคนจำแม่นเรื่องผู้คน
บางคนจำแม่นเรื่องรายละเอียดเชิงเทคนิค
แต่เรื่องอื่นที่ไม่ถนัด
ก็เหมือนความจำชำรุด
พอขาดไฟเลี้ยงก็หายไปราวกับไม่เคยมีอยู่
หรือไม่ก็เป็นหน่วยความจำที่ไว้ใจไม่ได้
สาระแนเอาความจำชุดหนึ่ง
ไปผสมกับความจำชุดอื่นโดยไม่มีใครสั่ง

ความจำเป็นเรื่องลึกลับ
โดยเฉพาะสำหรับคนที่ต้องการศึกษา
เกี่ยวกับเรื่องของความทรงจำอย่างเป็นวิทยาศาสตร์
แต่หากสนใจในแง่ของกรรม
ก็อาจมองเห็นอะไรเป็นภาพรวมง่ายขึ้น
แม้ไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ก็พอจับจุดได้เป็นหลักๆ

เราเอาเรื่องทางศาสนามาเป็นตัวอย่างการศึกษา
บางคนจำแม่นไปทุกเรื่อง
ลงรายละเอียดได้ยิบยับ
ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลบุคคลที่รู้จัก
ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคที่สลับซับซ้อน
ไม่ว่าจะเป็นลำดับสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิง
แต่พอมาเรื่องของศาสนา
แม้จะพยายามอ่าน พยายามท่องพระไตรปิฎกอย่างไร
ก็ดูเหมือนจะไม่จำ หรือจำคลาดเคลื่อน

ความเชื่อและนิสัยขั้นพื้นฐาน
เป็นตัวแปรที่ทำให้เป็นเช่นนั้น
เช่น เดิมเป็นคนไม่เห็นสาระสำคัญของภาคทฤษฎี
จะปักใจเชื่อว่าลงมือลุยเลย ปฏิบัติเลยดีที่สุด
ตำรับตำราไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องไปอ่านมาก
นอกจากนั้นก็มีเรื่องของความชอบคิดเอง ชอบพูดเอง
ชอบให้คนมองว่าเป็นเจ้าของความคิด เจ้าของวาทะ

พอถึงจุดหนึ่ง เริ่มเห็นความสำคัญของภาคทฤษฎีขึ้นมา
ทั้งในแง่ของการอ้างอิงไว้พูดให้น่าเชื่อถือ
และทั้งในแง่ของการนำมาประยุกต์กับการปฏิบัติจริง
ก็จำไม่ได้ เหมือนความทรงจำทางศาสนารางเลือน
จับแพะชนแกะ ผิดฝาผิดตัว หรือพูดได้ว่าเพี้ยน
คล้ายขาดเสาหลัก ไร้ฐานที่มั่นทางความทรงจำ
แยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นความเห็นของตัวเอง
อันไหนเป็นคำพูดของครูบาอาจารย์
อันไหนเป็นพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสกันแน่

กับคนอีกแบบหนึ่งที่เป็นตรงข้าม
คืออะไรๆต้องเชื่อคนอื่นไว้ก่อน
ไม่กล้าคิดเอง ไม่กล้าสรุปเอง
ต้องให้คนอื่นคิด ให้คนอื่นสรุปอยู่ตลอด
พวกนี้บางทีจำแม่นเป็นบางเรื่อง
แต่อีกหลายเรื่องหลุดหมายไปหมดแบบยกกระบิ
เคยฟังก็บอกว่าไม่เคยฟัง
เคยเถียงก็บอกว่าไม่เคยเถียง
ทั้งนี้เพราะแรงศรัทธาเท่านั้น
ที่เป็นตัวยึดหรือตัวปล่อยความทรงจำทางศาสนาไป

สรุปคือ "ปัญญา" กับ "ศรัทธา" มีบทบาทใหญ่
ในเรื่องของหน่วยความจำทางศาสนา
ถ้าปัญญามากเกินไปก็จำไม่ค่อยถนัด
เพราะความคิดเข้าข้างตัวเองยืนจังก้าขวางทางอยู่
แต่ถ้าศรัทธาแรงเกินไปก็จำได้ชัดเป็นบางเรื่อง
เพราะจิตมีกำลังยึดเฉพาะจุดที่ปักใจแน่ว

เพื่อจะมีหน่วยความทรงจำทางศาสนาที่ดีเยี่ยม
อันจะมีผลให้หน่วยความทรงจำอื่นๆพลอยดีตาม
ศรัทธาและปัญญาควรสมดุล
ต้องมีลักษณะพร้อมจะน้อมใจฟังคำอันเป็นธรรม
โดยไม่เข้าข้างตัวเอง
ไม่ยืนกรานตามอำเภอใจแบบขาดเหตุผล
จะเชื่อข้อสรุปใดต้องผ่านการพิสูจน์
หรือถ้าไม่สะดวกจะพิสูจน์
อย่างน้อยก็ต้องผ่านการพิจารณา
ที่มีหลักเกณฑ์เป็นเหตุเป็นผล
พร้อมจะยอมรับเหตุผลอันเป็นจริง
โดยไม่เลือกข้างว่าจะเป็นฝั่งตนหรือฝั่งท่าน

แต่ถ้าคุณเป็นพวกชอบบิดเบือนคำคนอื่น
จ้องจับแต่ข้อผิด ไม่ยอมมองที่ข้อดี
หรือกระทั่งชอบเอาความเห็นของตนเอง
ไปใส่พระโอษฐ์ของพระผู้มีพระภาค
เพียรพยายามยัดเยียดความจำมืดๆใส่สมองคนอื่น
อันนี้ลืมไปได้เลย เรื่องจะมีหน่วยความจำทางศาสนาดีๆ
เท่าที่ผมเห็นมา ความทรงจำจะวิปริตปรวนแปรไปหมด
เป็นผลเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรมในปัจจุบันชาติ
จำได้ดีเฉพาะเรื่องที่กล่าวตู่คนอื่น
หรือตู่เอาพุทธพจน์มา "ใช้งาน" สนองกิเลสตนเอง
ที่จะนำมาประยุกต์พัฒนาชีวิตจิตใจให้เจริญ
กลับจำไม่ได้ หรือจำได้อย่างรางเลือน
ไม่รู้สึกถึงคุณค่า ไม่เชื่อว่าตนจะต้องปฏิบัติตาม

กรรมปัจจุบันเป็นอย่างไร
เกิดใหม่ก็มีสภาวะที่สอดรับอย่างนั้น
ถ้าคุณเคยเห็นคนที่มีความจำสับสน
เอาแต่อยู่กับความคิดของตัวเอง
อยู่ดีๆเป็นทุกข์กับความคิดที่บิดเบี้ยวของตัวเอง
จำได้แต่เรื่องที่ตัวเองเชื่อ
จดจำสาระดีๆที่มาจากภายนอกไม่ค่อยได้
เข้าข่ายคนเป็นโรค "ความจำเป็นพิษ"
เอาแต่ย้ำคิดย้ำทำในเรื่องไม่เป็นเรื่องไปจนชั่วชีวิต
นั่นแหละครับผลหนึ่งของกรรมประมาณที่กล่าวมาข้างต้น

เพื่อจะไม่มีความจำอันเป็นขุมนรกในตน
ก็ให้หน่วยความจำทางศาสนาของคุณ
เป็นไปเพื่อความสว่าง ความเจริญรุ่งเรือง
ทั้งสำหรับตนเองและผู้อื่นเถิด

ดังตฤณ
เมษายน ๕๓

วันพุธที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553

ประเทศที่คอรัปชันเป็นศูนย์

เสาร์ที่ผ่านมา คณะของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ซึ่งนำโดยนางหิรัญญา สุจินัย ทปษ.ด้านการลงทุน (นักวิเคราะห์ นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) เดินทางจากกรุงกาโบโรเน สาธารณรัฐบอตสวานา มาแวะที่กรุงฮาราเร สาธารณรัฐซิมบับเว และกรุงไนโรบี สาธารณรัฐเคนยา ใช้เวลากว่า 18 ชั่วโมง เราก็บินมาถึงเมืองไทยเรียบร้อย ท่านผู้ใดสนใจอยากทราบโอกาสการค้า การลงทุน ในสาธารณรัฐบอตสวานา กรุณาติดตามชม "รายการ World Beyond เดินทางสร้างชาติ" ช่อง 3 เวลา 06.00-06.30 น. วันเสาร์ 10 เมษายน 2553 ที่จะถึง
ฐานะประธานที่ปรึกษาของบริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนต่างประเทศของ สนง.คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ภายใน 2-3 เดือนนี้ นิติภูมิจะจัดสัมมนาการค้าการลงทุน และเดินทางไปเยือนอีก 3 ประเทศ คือ สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน สหสาธารณรัฐแทนซาเนีย และสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเอธิโอเปีย ท่านใดสนใจติดต่อผู้ช่วยของผมที่ 0-2718-8219 และ 08-9811-9579 บีโอไอและกลุ่มบาลานซ์จัดสัมมนารับใช้สังคมไทยโดยไม่มีการเสียค่าใช้จ่ายใดๆทุกครั้ง แต่ขอจำกัดเพียงกลุ่มละ 80 คนนะครับ และขอเป็นผู้ที่ต้องการไปทำการค้าและลงทุนจริงๆ
อ่านอีเมล์ที่ส่งมาถึง ใครจะนึกเล่าครับว่าผู้อ่านท่านผู้เป็นนักธุรกิจและนักลงทุนจะสนใจบอตสวานา สาธารณรัฐในภูมิภาคแอฟริกาใต้กันมากขนาดนี้ ถามกันมาเยอะโดยเฉพาะเรื่องที่ดิน
ขอเรียนครับว่า ที่ดินบอตสวานาที่มีขนาดใหญ่กว่าแผ่นดินไทยทั้งประเทศนั้น แบ่งเป็น 3 ประเภท ประเภทแรกเรียกว่า Freehold land เป็นที่ดินของเอกชน มีโฉนด สามารถขายผ่านมือไปมาได้ มีประมาณร้อยละ 5 ของแผ่นดินทั้งหมด
ประเภทที่สองเป็น State land ที่ดินรัฐ ใครอยากได้ที่ดินประเภทนี้ เพื่อทำกสิกรรม เลี้ยงสัตว์ โรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ รัฐบาลให้เช่าด้วยราคาแสนถูกมากในระยะเวลา 50 ปี แต่ถ้าจะใช้ทำที่อยู่อาศัยก็เช่าได้นาน 99 ปี
ประเภทที่สามเป็น Tribal land หรือ Communal land เป็นที่ดินของพวกชาวเผ่าต่างๆ มีทั้งหมด 70% ของที่ดินทั้งประเทศ ใครจะเช่าทำกสิกรรม เลี้ยงสัตว์ หรือทำโรงงานอุตสาหกรรม ก็ต้องไปเจรจากับคณะกรรมการเผ่าที่เป็นเจ้าของแผ่นดินก่อน โดยปกติที่ดินประเภทนี้ รัฐบาลยินยอมให้เช่าได้นาน 50 ปี
สอบถามราคาค่าเช่าที่ดิน ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีที่ดินราคาถูกขนาดนี้ในโลก นักลงทุนใหญ่ท่านหนึ่งโทร.มาสอบถามตามข่าว ผมอยากเช่าที่ดินเป็นจำนวนหลายล้านไร่ เพื่อใช้ปลูกอ้อย มันสำปะหลัง มันฝรั่ง ฯลฯ ผมจะตั้งโรงงานทำน้ำตาล ทำโรงงานผลิตเอทานอล ฯลฯ นิติภูมิตอบว่า อ้า ท่านอย่าไปทำอะไรยากอย่างนั้นเลยครับ ที่บอตสวานามีวัตถุวิเศษอยู่ 2 อย่างที่สามารถบันดาลให้ท่านเป็นอภิพญามหาโคตรเศรษฐีของโลกได้ นั่นก็คือ ทรายซิลิกาที่มีความบริสุทธิ์สูงมาก และโซดา แอซ
ในหลายประเทศอาจจะมีทรายซิลิกา ทว่าไม่มีโซดา แอซ หรือโซเดียมคาร์บอเนต ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ใช้ทำแก้ว แต่ในบอตสวานามีไอ้สองอย่างนี่ครบ และมีมากเป็นลำดับต้นของโลก ใครอยากผลิตเซรามิก สารซิลิคอน เช่น ซิลิโคน ซิเลน และโลหะซิลิคอนในอุปกรณ์กึ่งตัวนำ แก้ว กระจกหน้าต่าง ประตู ขวดต่างๆ อย่างขวดซอส ขวดแยม ไฟเบอร์กลาส ฯลฯ ออกตลาดโลก ผมว่าที่บอตสวานานี่ เหมาะที่สุด
ย้อนอดีตกลับไปไกลโพ้น แผ่นดินที่เป็นสาธารณรัฐบอตสวานาในปัจจุบันทุกวันนี้นี่มีทะเลสาบเยอะ (เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่แยะทางตอนเหนือ) วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป น้ำจากทะเลสาบระเหยแล้งแห้งหมด ก้นทะเลสาบก็เหลือแต่พวกเกลือที่มีโซเดียมคาร์บอเนต (โซดา แอซ) โซเดียมไบคาร์บอเนต (เบกกิ้ง โซดา) และมีโซเดียมคลอไรด์ (เกลือแกง) และโซเดียมซัลเฟต พวกอียิปต์โบราณก็เอาเนทรอน หรือสิ่งที่ตกตะกอนอยู่ก้นทะเลสาบแห้งนี่แหละครับ ไปใช้ทำมัมมี่ที่คงสภาพได้หลายพันปี
ในหลายประเทศต้องผลิตโซดา แอซ โดยผ่านกระบวนการทางเคมีที่เรียกว่ากระบวนการเลอบลังก์บ้าง หรือใช้กระบวนการโซลเวย์บ้าง ซึ่งต้นทุนสูง แต่ที่สาธารณรัฐบอตสวานานี่ ท่านไปขุดแหล่งแร่โซเดียมคาร์บอเนตขนาดใหญ่ได้ในมากมายหลายแห่งของประเทศได้เลย โดยที่ไม่ต้องไปพึ่งการผลิตจากกรรมวิธีทางเคมี
บอตสวานาเป็นประเทศที่ไม่เคยมีปฏิวัติรัฐประหารเลยแม้แต่ครั้งเดียว การเลือกตั้งทุกครั้งปฏิบัติถูกต้องตามหลักประชาธิปไตย ใครๆก็ยอมรับว่า บอตสวานาเป็นชาติรัฐที่มีความมั่นคงทางการเมืองสูงมาก ถึงขนาดสำนักความโปร่งใสนานาชาติจัดให้บอตสวานาเป็นชาติที่มีความโปร่งใสมากที่สุดของทวีปแอฟริกา
นโยบายที่สำคัญอันดับ 1 ของบอตสวานาก็คือ ต้องการเป็นประเทศที่มีการคอรัปชันเป็นศูนย์
จากการสอบถามผู้คนที่ไปลงทุนและทำธุรกิจ ทุกคนก็เชื่อว่าประเทศนี้ไม่มีคอรัปชัน
เมื่อไรเมืองไทยจะไม่มีคอรัปชันเหมือนประเทศในทวีปแอฟริกาประเทศนี้บ้างครับ.

นิติภูมิ นวรัตน์

วันอังคารที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2553

2000 ก้าว

ผมได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งของ กองออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เรื่อง "77 เคล็ดลับกับการเพิ่ม 2,000 ก้าว" เห็นว่าเป็นเรื่องที่ดี หากลองปฏิบัติตาม ก็จะสามารถเปลี่ยนนิสัยของคนไทยให้หันมารักการเดินกันมากยิ่งขึ้น (ในประเทศที่เขาพัฒนาแล้ว จะเห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่ของเขาจะชอบการเดิน) เพราะปัจจุบันนี้ คนไทยมักไม่ค่อยชอบเดิน ชอบใช้แต่ยานพาหนะ ซึ่งก่อให้เกิดความสิ้นเปลืองมากมายตามมา
ความนำ
การเดินมากขึ้น 2,000 ก้าวจากปกติ และลดอาหาร 100 แคลอรี่ต่อวัน สามารถควบคุมน้ำหนักไม่ให้เพิ่มขึ้นได้ การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในกิจวัตรประจำวันจะช่วยเพิ่มการเดินอีก 2,000 ก้าว หรือเพิ่มระยะเวลาการเดินอย่างน้อย 10 นาทีในแต่ละครั้ง ท่านสามารถเพิ่มการเดินที่บ้าน ที่ทำงาน และช่วงเวลาว่าง จาก 77 เคล็ดลับต่อไปนี้ ให้ท่านเลือกเคล็ดลับที่ท่านชอบหลายๆ ประการในแต่ละวัน จะช่วยให้ท่านบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ

ที่บ้าน
เดินรอบบ้านหรือรอบหมู่บ้าน
เดินเลยร้านขายของชำแล้ววกกลับมาซื้อของ
ไปโรงเรียนที่อยู่ใกล้แล้วเดินในลู่วิ่งรอบสนาม 4 รอบเท่ากับประมาณ 2,000 ก้าว
เดินขึ้น-ลงบันไดหลายๆ เที่ยว เพื่อทำงานบ้าน
จอดรถไกลจากร้านอาหารหรือธนาคารเล็กน้อยแล้วเดินต่อ
ระหว่างรอพบแพทย์หาโอกาสเดินไปมา
ฟังเพลงขณะกำลังเดิน
ชวนเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัวมาเดินด้วยกัน
เดินไปส่งลูกที่โรงเรียน
พาสุนัขไปเดินเล่น
จัดตั้งชมรมเดินในชุมชนของท่าน
เดินไปทำธุระที่ร้านค้า ไปรษณีย์ใกล้บ้าน
พูดคุยกับครอบครัวระหว่างการเดินหลังอาหารเย็น
เดินไปวัด โบสถ์หรือมัสยิด
เดินรอบบ้านขณะคุยโทรศัพท์
หาโอกาสเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้น
เดินไปเยี่ยมเยี่ยนเพื่อนบ้าน
พยายามเดินให้ได้ระยะทางไกลๆ
จดบันทึกจำนวนก้าวและความรู้สึกดีๆ จากการเดิน
เดินบนเครื่องสายพานในวันที่ฝนตก หรือข้างนอกมืดเกินไปที่จะเดิน
เดินย่ำท้าวหรือเดินไปเดินมาขณะดูโทรทัศน์
เข็นรถกลับไปคืนร้านค้า หลังจากท่านเก็บของเรียบร้อย
เข้าร่วมเดินการกุศล
เดินก่อนถึงเวลานอน 2-3 ชั่วโมง จะช่วยให้หลับสนิท
ที่ทำงาน
เดินในที่ทำงานก่อนจะเริ่มงานในตอนเช้า
ลงรถประจำทาง ก่อนถึงที่หมาย 1-2 ป้าย แล้วเดินต่อไป
เดินไปทำงานถ้าที่พักอาศัยอยู่ไม่ไกล
เดินไปชงกาแฟจากจุดที่อยู่ไกลโต๊ะทำงานที่สุด
เดินเข้าห้องน้ำที่อยู่อีกฟากหนึ่งของตึก
เดินระหว่างพักการประชุม
เดินเร็วๆ 10 นาทีช่วงพักกลางวัน
ขึ้นลงบันไดแทนการใช้ลิฟท์และบันไดเลื่อน
จอดรถไว้ไกลๆ ในที่จอดรถ
ออกไปเดินสัก 4-5 นาที เพื่อคลายเครียด
เดินไปร้านค้าใกล้ๆ เพื่อซื้อของ
จัดตั้งชมรมเดินในที่ทำงาน
ชวนเพื่อนร่วมงานไปเดินก่อนทำงานและหลังเลิกงาน
เดินไปคุยกับเพื่อนร่วมงานที่โต๊ะแทนที่จะโทรศัพท์หรือส่งอีเมล์
กระตุ้นเพื่อนร่วมงานไปร่วมเดินกับท่านช่วงเวลาพัก
เดินรอบที่ทำงาน
ช่วงเวลาว่าง
เดินดูสินค้าตามร้านต่างๆ ภายในศูนย์การค้า
เดินดูให้รอบศูนย์การค้าก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า
เข้าร่วมกลุ่มการเดินหรือแอโรบิกในน้ำ แรงต้านของน้ำจะช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง
เดินเที่ยมชมพิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ หรืออุทยาน
เดินวนรอบๆ งานแสดงสินค้าก่อนจะตัดสินใจซื้อ
เริ่มด้วยการเดินช้าๆ แล้วเพิ่มความเร็วขึ้นตามที่ต้องการ แล้วผ่อนหยุดด้วยการเดินช้าๆ ในช่วงท้ายของการเดิน
ร่วมกิจกรรมเดิน/วิ่งของชุมชน
ท่องธรรมชาติด้วยการเดิน
หาเส้นทางการเดินใหม่ๆ เพื่อสำรวจทิวทัศน์ที่แปลกออกไป
เดินท่องเที่ยวโบราณสถาน
อาสาสมัครพาผู้สูงอายุเดินเที่ยว
จัดวันทำความสะอาดชุมชนร่วมกัน
นัดเพื่อนกินอาหารกลางวันที่ร้านที่สามารถเดินไปได้
เดินหาสินค้าราคาถูก บริเวณตลาดนัดใกล้บ้าน
เดินไปเที่ยวชุมชนใกล้เคียง
เดินส่องกล้องชมนก
เข้าร่วมกลุ่มเต้นแอโรบิก
ไปเที่ยวชายทะเลและเดินไปตามชายหาด
เล่นกีฬาที่ชอบ
ให้รางวัลตัวเองเมื่อเดินได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
เดินรอบสนามขณะที่ลูกเล่นกีฬา
เดินออกรอบตีกอล์ฟโดยไม่ใช้รถกอล์ฟ
เดินไปสวนสาธารณะกับลูก
ออกกำลังกายที่ชอบ
กิจกรรมอื่นๆ
เต้นรำยามค่ำคืนในคลับ
ล่องแพ พายเรือคายัค หรือแคนู
ขี่จักรยานท่องเที่ยวหรือไปทำธุระ
เล่นสเกตแถวบ้าน
กายบริหาร เช่น ฝึกชี่กง ไทเก็ก ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ
รำไม้พลองป้าบุญมี
เรียนมวยไทยแอโรบิก
กำจัดวัชพืช พรวนดินด้วยจอบ คราด ตัดแต่งกิ่งไม้ ตัดหญ้า
ว่ายน้ำในสระ
ดำน้ำชมปะการัง
สลับทิศทางการเดิน-เริ่มเดิน จากจุดสิ้นสุดไปหาจุดเริ่มต้นแทน
เล่นเกมไล่จับ รีๆ ข้าวสาร งูกินหาง มอญซ่อนผ้า กับลูก
ล้างรถด้วยตนเอง
ที่มา : กองออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข.(2552). 77 เคล็ดลับกับการเพิ่ม 2,000 ก้าว. กรุงเทพฯ : องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก.

วันจันทร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2553

ความจริงที่ยังคงเตือนสติ

04

..

แม่เฒ่ามีลูกชายสองคนและหญิงหนึ่งคน 60 ปีที่ผ่านมาครอบครัวแม่เฒ่าจัดอยู่ใน ระดับผู้มีอันจะกินของจังหวัด สามีของแม่เฒ่ามีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ก่อร่างสร้างตัวจากกรรมกรกิน ค่าแรงรายวันโดย แม่เฒ่ารับจ้าง ทอผ้าอยู่ในโรงงานแห่งหนึ่ง อดออมสะสมจนฐานะดีขึ้น สามารถ สร้างหลักฐานจนมีที่ดินบ้านช่องสมฐานะ แต่สามีก็ยังทำงานหนักไม่ยอมพักหวัง จะฟูมฟักลูก 3 คนให้ อยู่อบอุ่น กินอิ่มโดยไม่ต้อง ลำบากช่วงนั้นแม่เฒ่าเลิกทอผ้าแล้วอยู่บ้านเลี้ยงลูก 3 คนที่อยู่ในวัยซวนไล่ เรียงตามลำดับ เช้าวันหนึ่งเมื่อลูกชายคนโตอายุ ได้ 6 ขวบ สามีของแม่เฒ่าก็หลับไปไม่ ตื่นมาร่ำลา หมอที่ โรงพยาบาลบอกว่าสามีตับแข็งตายทั้งๆ ที่ไม่เคยแตะเหล้าซักหยด แม่เฒ่าเปลี่ยนสภาพบ้านพักเปิด เป็นร้านค้าโชห่วยขายของสารพัดชนิดอดทนอดออมเลี้ยงลูกทั้ง 3 คน ให้ร่ำเรียนจนจบปริญญา ครอบครัว อบอุ่นพี่น้องรักใคร่กันดี ไม่มีเค้าลางว่าจะแตกหักดั่งหนึ่งคนละสายเลือดลูกชายคนโตแต่งงานไป กับลูกสาวเจ้าของร้านขายทองในตลาด ในชีวิตของแม่เฒ่าไม่เคยมีความสุขครั้งไหน เหมือนวันที่ลูกชายแต่งงานสมบัติที่มีแม่เฒ่าจัดแบ่งเป็นสามส่วน ให้ลูกชายคนโตเปิดร้านขายทองตามที่สะใภ้ต้องการ

...ปีต่อมา ลูกคนที่สองแต่งสาวเข้าบ้านอีกคนแม่ เฒ่ายกบ้านและที่ดินที่เปิดร้านขายของสอง คูหาสามชั้นให้เป็นสมบัติ ของลูกด้วยความยินดีโดยที่แม่เฒ่าขอสิทธิ์แค่อยู่อาศัย สองปีถัดมาลูกสาวคน สุดท้องแต่งกับข้าราชการระดับหัวหน้ากองในจังหวัด แม่เฒ่ายกที่ดินและเงินสดก้อนสุดท้ายของแม่เฒ่า รับขวัญลูกเขยด้วยความปรีดา

สะใภ้คนที่สอง เริ่มจุดประกายแห่งการแตกหัก ตั้งแต่แต่งเข้าบ้านไม่เคยแม้แต่ เสียบปลั๊กหม้อหุงข้าว แม่เฒ่ากลายเป็นทาสในเรือนซักผ้าทำกับข้าวจัด สำรับคับค้อน ตั้งโต๊ะคอยท่าสองผัวเมียกินก่อนจนอิ่ม แม่เฒ่าจึงมีโอกาสได้กินของเหลือ ก่อนจะเก็บกวาดถ้วยชามไปล้าง กวาดเช็ดบ้านช่องเรียบร้อยแล้ว จึงได้พักผ่อนด้วยการเดินออกไปคุยกับ เพื่อนบ้านในวัยไล่เลี่ยกัน สะใภ้สองเข้มงวดแม้แต่ของสดทุกชนิด ที่ซื้อมาทำกับข้าว ต้องถามราคาแล้วยกไปชั่งน้ำหนัก ราคา สินค้ากับเงินทอนที่เหลือต้องตรง กับเงินที่ให้ไปตลาด แต่แม่เฒ่าก็ไม่เคยเก็บมาเป็นอารมณ์

...แล้ววันหนึ่งสะใภ้สองก็จัดระเบียบการ กินใหม่ หล่อนไปสั่งผูกปิ่นโตเพื่อนกินกันแค่สองผัวเมีย แล้วสั่งให้ผัวจ่ายเงินให้แม่เฒ่าแค่วันล่ะยี่สิบบาทไปหากินเอา เองด้วยเหตุผลโง่ๆ คือต้องการประหยัด แต่ลึก ๆ ในใจไม่ต้องการให้แม่ผัวเม้นส่วนเกิน แม่เฒ่าคิดเอาเองว่าลูกๆ คงไม่อยากให้แม่เหนื่อย จึงน้อมรับประกาศิตลูกสะใภ้ด้วยดุษฏี สองสามวันต่อมาแม่เฒ่าก็ลืมสิ้นเพราะความรักลูก หลายครั้งที่แม่เฒ่าคิดถึงลูกชายคนโตที่เปิดร้านขายทองในตลาดแม่ เฒ่าจะเจียดเงินที่เก็บออมไว้ ซื้อผลไม้ที่ลูกชอบติดมือไปด้วย แต่ทุกครั้งที่แม่เฒ่าเดินเข้าไปในบ้านสะใภ้ใหญ่จะมองอย่างเหยียดๆ แล้วเดินหนีเข้าห้องแอร์ปิดประตูนอนดูโทรทัศน์ สั่งคนใช้ให้คอยสอดส่องเดินตามแม่เฒ่า เธอ กลัวแม่ผัวขโมยของในบ้านจะคุยกับลูกชายไอ้นั่นก็ออกอาการไม่ว่างถามคำตอบคำ เหมือนหนามตำโดน โคนลิ้นจนอ้าปากลำบากลำบน อึดอัดแม่เกรงใจเมีย แกล้งถอดสร้อยคอทองคำเส้นโตที่ห้อยแขวนพระ เครื่องราคาแพงในกรอบทองฝังเพชรพวงใหญ่ขึ้นมาส่องทีละองค์ด้วย ความเลื่อมใส และไม่แม้แต่จะชายตา มองแม่เฒ่าที่นั่งซึมอยู่ข้างตู้ทอ งอย่างเดียวดาย เก้ๆ กังๆ อยู่พักใหญ่ก็เดินออกจากบ้านลูกชายคนโต อย่างเหงาๆ โดยมีคนใช้ของลูกหิ้วถุงผลไม้ตามมายัดคืนใส่มือ ระหว่างทางก็แวะ ทักทายคนรู้จักเพื่อ รักษามารยาท แต่ในใจของแม่เฒ่ามันวังเวงจนจำไม่ได้ว่าพูดคุยกับใครไปบ้าง

ระหว่าง ทาง ลูก สาวคนเล็กที่แม่เฒ่าทั้งรักทั้งหวงนั่นแทบไม่ต้องพูดถึงเธอยื่นคำ ขาดกับแม่เฒ่า ตั้งแต่้ครั้งแรกที่ไปเยี่ยมว่าถ้า ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปหาเพราะบ้านเธอมีแขกที่เป็นลูกน้องของผัวและ พ่อค้าวานิชเข้าพบผัวของเธอเพื่อขอ อำนวยความสะดวกในทางธุรกิจบ่อยๆ และผัวของหล่อนก็ค่อนข้างเจ้ายศเจ้าอย่าง ถ้าแม่เฒ่ารักลูกก็ควร จะต้องรักษาเกียรติรักษาหน้าตาของผัวลูกด้วย แม่เฒ่าไม่เข้าใจว่าการรักษาหน้าตาของลูกเขยนั้นต้อง ทำอย่างไรแม่เฒ่ายังเคยปลื้มกับคำชมของเพื่อนบ้าน

...เขาว่า แม่เฒ่าวาสนาดีลูกเขยเป็นเจ้าคนนายคนแม่เฒ่าก็ได้แต่แอบปลื้ม ทั้งๆ ที่ ไม่เข้าใจว่าทำไมการเป็น เจ้าคนนายคนจึงเหมือนกำแพงชนชั้นปิดกั้นระหว่างความเป็นแม่ลูกจน หนักหนาสาหัสขนาดนั้น ร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้าขนาดยักษ์โผล่ ขึ้นมารายรอบร้านค้าของลูกชายคนที่ สองกระทบธุรกิจของสองผัวเมียจน ทรวดเซ ของขายไม่ได้มากเหมือนเก่าที่เอาอะไรมาวางก็ขายหมด ปัญหา และวิกฤติการเงินในบ้านส่งสัญญาณถึงขาลง สองผัวเมียเริ่มมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง และแทบทุก ครั้งลูกสะใภ้ก็จะฉวยโอกาสด่ากระทบแม่ผัวเป็นของแถมโดยไม่มีเหตุผล โดยที่ลูกชายก็ไม่ออกอาการปกป้องแม่เฒ่าแต่อย่างใด

.. 12 มิถุนายน 2530 ประมาณ 3 ทุ่มของคืนโลกาวินาศ

ท้องฟ้ามืดครึ้มไปด้วยพยับเมฆ สลับกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องเป็นระยะๆ ครู่ใหญ่ๆ ต่อมาสายฝนจึงโปรยปรายชุ่มฉ่ำน้ำนองไปทั่วเมือง ลูกชายลูกสะใภ้ออกไปกินข้าวนอกบ้าน ยังไม่กลับ ปล่อยแม่เฒ่าเฝ้าร้านค้าคนเดียว

..แม่เฒ่าจำได้ว่าวัยรุ่นสอง คนขี่รถเครื่องฝ่าสายฝนมาจอดหน้าร้านขอซื้อเบียร์หนึ่งขวด แม่เฒ่ารับเงิน แล้วเดินเข้าไปเก็บในลิ้นชักโดยไม่ระแวงว่า สองวัยรุ่นแอบยกลังใส่บุหรี่ที่ลูกชายสั่งมายังไม่แกะ กล่องช่วยกันแบกขึ้นรถขี่หายไปกับความมืด ก่อนสี่ทุ่มเล็กน้อยสองผัวเมียจึงขับรถกลับเข้าถึงบ้านช่วย กันเก็บของเข้าร้าน วางของทุกชิ้นเข้าที่ๆ เคยวาง เมื่อไม่เห็นลังบุหรี่จึงหันไปตะโกนถามแม่เฒ่าที่ กำลังจุดธูปไหว้รูปสามีบนหิ้ง เพียงคำตอบที่แม่เฒ่าตอบว่า "ไม่เห็น"ก่อนปักธูปลง กระถาง เสียงสบถด้วยคำหยาบของลูก ชายก็ดังสวนสนั่นบ้าน ครู่เดียวทั้งลูกสะใภ้กับลูกชาย ก็สลับปากจิกหัวด่าแม่กึกก้องประสานเสียงกับสายลมนอกบ้าน ก่อนที่ทั้ง คู่จะขับรถไปโรงพักแจ้งจับแม่ลักทรัพย์ ตำรวจพาแม่เฒ่าไปนั่งอยู่หน้าโต๊ะ ร้อยเวร แม่เฒ่าให้การไม่รู้ ด้วยซื่อบริสุทธิ์โดยไม่ตัดพ้อต่อว่าลูก ชายแม้แต่คำเดียว กว่าชั่วโมงในห้องแอร์เย็นเฉียบ แต่ในอกในใจของร้อยเวรหนุ่มร้อนรุ่มเหมือนถูกไฟนรกแผดเผา ที่ต้องวิงวอนสองผัวเมียให้เห็นบาปบุญคุณโทษ แต่สองผัวเมียกลับโยนภาระตอกย้ำ "ให้ตำรวจอบรมแม่เฒ่า" ก่อนที่จะสะบัดก้นกลับไปบ้านโดย ไม่ใส่ใจแม่เฒ่าที่เปียกฝนนั่งสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บ สายฝนยงสาดซัดกระหน่ำหนักเหมือนฟ้าแตก ตำรวจยศนายดาบขับรถร้อยเวรมาส่งแม่ เฒ่า ที่บ้านบ้านซึ่ง ประตูเหล็กถูกปิดสนิท

..แม่เฒ่าลงจากรถเดินฝ่าฝนถึงหน้าบ้านแล้วแม่เฒ่าก็ตกใจสุดขีด กับภาพเบื้องหน้าที่พื้นหน้าบ้าน เสื้อผ้าเก่า
ๆ ยัดแน่นอยู่ในถุงถูกโยนออก มากองเรี่ยราดเหมือนขยะ บนกองเสื้อผ้าของแม่เฒ่า กระถางธูปและรูปถ่ายของสามีแตกกระจายเกลื่อนกราด หยาดฝนสาดซัดรูปถ่ายขาวดำ ของสามีจนเปียกปอนขาดวิ่น แม่เฒ่าก้มลงหยิบรูปของสามีมากอดแนบอก น้ำตาแห่งความ รันทดทะลักล้นปนน้ำฝน ปวดร้าวเหมือนถูกฟ้าผ่าเข้ากลางใจ แม่เฒ่ากอดรูปนั้นไว้เหมือนจะปกป้อง จากสายฝนสุดชีวิต สองเท้าออกก้าวช้าๆ เหมือนร่างไร้วิญญาณ เข้าตลาดไปหยุดนิ่งอยู่หน้าร้านขายทอง ของลูกชายคนโตเหมือนเป็นการ บอกลา แล้วลัดเลาะฝ่าความมืดและสายฝนไปยืนอยู่หน้าบ้านลูกสาวคน เล็กเก็บภาพแห่งความรักความทรงจำสุดท้ายเป็นครู่ใหญ่ จึงเดินจากไปท่ามกลางเสียงกึกก้องของฟ้า ร้องระงม สลับกับ เสียงฟ้าผ่าแน่นหนักเป็นระยะ ดั่งเจ้ากรรมนายเวรกำลังเร่งรีบกรีดนิ้ว กัปนาท บรรเลงเพลงกรรมในอดีตชาติติดตามมาทวงคืนให้แม่เฒ่าต้องชด ใช้อย่างบอบช้ำยับเยิน รถกระบะเก่าๆ คันนั้นวิ่งฝ่าสายฝนมาจอดสงบนิ่งอยู่หน้ากุฏิพระ ของสมภารเจ้าวัด ตอนตีสามเศษๆ คนขับรถพบแม่เฒ่าเดินโซซัดโซเซอยู่ข้างถนนเปล่าเปลี่ยวเดียว ดาย ด้วยใจเมตตา เมื่อแม่เฒ่าต้องการมาที่นี่ จึงขับรถมาส่งด้วยความสังเวช แม่เฒ่ามักคุ้นกับ สมภารวัดนี้มานานแล้ว ตั้งแต่เจ้าอาวาสองค์เก่ายังอยู่ นาทีสุดท้ายของการตัดสินใจครั้งใหญ่ของชีวิตจึงไม่มีที่ไหนอบอุ่น ให้พึ่งพิงเหมือน ร่มเงาฉัตรแก้วกงธรรมแห่งรัตนะทั้งสาม

... นับแต่นาทีแรกที่แม่เฒ่ามาถึงที่นี่จนวันนี้ แม่เฒ่าไม่เคยออกไปนอกวัด เหมือนๆ กับที่ทั้งสามคนก็ไม่เคย ออกติดตามถามหาจะรู้หรือไม่ก็แล้วแต่ ว่าแม่ซมซานมาอยู่วัดแต่ ก็ไม่เคยปรากฏแม้แต่ เงาของลูกทั้ง 3 ประโยคสุดท้ายของแม่เฒ่าที่ฝากมา..

“แม่จำลูกได้ทุกอย่างตั้งแต่เกิดจนโต จะทุกข์จะสุขก็คือลูกของแม่ แม่ให้โดยไม่เคยวาดหวังจะได้จากลูกทุกคน เป็นการตอบแทน ลูกเอ๋ย...เมื่อลูกยังเป็นทารกทุกครั้งที่แนบอกดูดดื่ม น้ำนมจากเต้า สองมือน้อยๆ ของเจ้าไขว่คว้าอยู่ไหวๆวันนี้แม่สิ้นแรงแทบสิ้นใจจะมีมือของลูก คนไหน เอื้อมมาปิดตาให้แม่ก่อนสิ้นลม.....”

อนุสัย 7

3

อนุสัย คือ กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ใน สันดาน เหมือนตะกอนนอนอยุ่ที่ก้นภาชนะ ตะกอนจะฟุ้งขึ้นมาทำน้ำให้ขุ่นเพราะมีคนไปกระทบหรือกวนภาชนะฉันใด อนุสัยกิเลสก็เช่นเดียวกัน จะฟุ้งขึ้นมาทำจิตให้ขุ่นมัว ต่อเมื่อมีอารมณ์ภายนอกมากระทบเช่นเดียวกันฉันนั้น
อนุสัย เป็นกิเลสที่มีความละเอียดที่สุด สามารถกำจัดได้ด้วยปัญญาเท่านั้น คือ
1.ราคานุสัย ราคะ ความยินดีพอใจในกาม(กามราคะ)พอใจในรูปฌาน (รูปราคะ)พอใจในอรูปฌาน(อรูปราคะ)
2.ปฏิฆานุสัย ปฏิฆะ ความไม่ยินดีพอใจ
3.อวิชชานุสัย อวิชชา ความไม่รู้จริง
4.วิจิกิจฉานุสัย วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
5.มานานุสัย มานะ ความถือตัว
6.ภวานุสัย ภวราคะ ความอยากมีอยากเป็น
7.ทิฏฐานุสัย ทิฏฐิ การถือความเห็น

วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553

49 หลังความตาย

มนุษย์และสัตว์มิได้สิ้นสุดที่ความตาย เพราะการ "ตาย" หมายถึง สภาพร่างกายที่ไม่สามารถให้บริการแก่จิตวิญญาณใช้งานต่อไปได้อีก วิญญาณยังคงอยู่ ถึงแม้ร่างกายจะหมดอายุขัยไปแล้ว ทั้งนี้สภาพการตายจะบ่งบอกให้รู้ว่าจิตวิญญาณนั้นไปสุคติหรือลงสู่นรกภูมิ  

1. ตอนตายใหม่ ถ้าหากสีหน้าปกติ ร่างกายอ่อนนิ่ม สีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่ เนื่องจากได้บรรลุธรรม ดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติ
2. ตอนตายใหม่ๆ หน้าตาซีดผาด เหมือนคนตกใจ แสดงว่าวิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว
3. ตอนตายใหม่ๆ ร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาน่ากลัว เพราะความตกใจ บางคนจะกรีดร้องเสียงคล้ายสัตว์ คนเหล่านี้จะไปเกิดเป็นสัตว์ 4 ชนิด สังเกตได้จากตา หู จมูก ปาก ตาจะมีน้ำตาออก หูจะมีขี้หู จมูกจะมีน้ำมูก ปากจะมีน้ำลายฟูมปาก เป็นทวารที่ไม่สะอาด 4 ช่องทาง เมื่อจิตวิญญาณออกทางนี้ จะเกิดเป็นสัตว์ 4 ประเภท

- ตา ชอบดูสิ่งเหลวไหล ลุ่มหลงในรูปต่างๆ คนเหล่านี้เวลาใกล้ตาย ดวงตาจะเบิกกว้าง จะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก (เกิดออกจากไข่)
- หู ชอบฟังเรื่องเหลวไหล เรื่องซุบซิบนินทา คนเหล่านี้เวลาตาย หูจะชันขึ้น จะไปเกิดเป็นสัตว์ที่เกิดจากครรภ์ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย
- จมูก ชื่นชมกลิ่นคาวโลกีย์ เช่น เงินทอง สุรา นารี การพนัน ชื่อเสียงลาภยศ และค่านิยมที่ผิดศีลธรรม ฯลฯ จะไปเกิดเป็นแมลง มด ยุง แมลงวัน ฯลฯ บาปหนักมาก วิญญาณจึงถูกตีเป็นเศษวิญญาณ
- ปาก ชอบพูดเรื่องเหลวไหล พูดนินทา พูดวิจารณ์ พูดกล่าวร้ายป้ายสี ด่าคำหยาบคาย คนเหล่านี้เวลาตาย ปากจะอ้าค้างอยู่ตลอด จะเกิดเป็นสัตว์น้ำ ไปอยู่กับรสชาติที่โสโครกและสกปรก


เมื่อออกจากร่าง วิญญาณจะไปที่ไหน?
ดวงวิญญาณที่ออกจากร่างในตอนแรก จะวนเวียนอยู่บริเวณนั้น พอได้สติก็จะมีท่านมัจจุราชทำหน้าที่มานำเอาวิญญาณของมนุษย์หรือสัตว์ที่ ชะตาถึงฆาต พาไปยังยมโลก เพื่อตรวจสอบบาปบุญความดีความชั่ว ในขณะที่มีชีวิตอยู่
วิญญาณบาปจะถูกนำตัวส่งไปนรก 8 ขุมใหญ่ แต่ละขุมแบ่งย่อยขุมละ 36 แห่ง แต่ละแห่งมีการลงทัณฑ์และทรมานอีก 800 ด่าน แต่ละด่านมีเครื่องทรมานนับไม่ถ้วน วิญญาณบางดวงอาจตกนรกทั้ง 8 ขุมเลยก็มี โดยเฉพาะคนที่ทำกรรมชั่วมหันต์ หรือเรียกว่า "อนันตริยกรรม" มีอยู่ 5 อย่าง คือ 1.ฆ่าพ่อ 2. ฆ่าแม่ 3. ฆ่าพระอรหันต์ 4. ยุยงสงฆ์ให้แตกแยก 5. ทำร้ายพระพทุธเจ้าห้อเลือด
หลัง จากที่คนเราตายประมาณ 1-2 วัน ปกติแล้ว เขาจะไม่รู้ว่าตัวเองตาย 7 วันให้หลังเขาจึงรู้ว่าตนเองตาย แล้ว วิญญาณจะถูกกักบริเวณไว้ 49 วันเพื่อรอพิจารณาคดี ในระหว่างนั้นผู้ตายก็กำลังรอบุญกุศลจากลูกหลานทางโลกที่กำลังง่วนอยู่กับ งานศพ

เรามาดูปรากฏการณ์ 49 วัน ชีวิตหลังความตาย ขณะที่วิญญาณของผู้ตายออกจากร่าง ชีวิตหลังความตายก็เริ่มต้นเปิดฉากขึ้นในโลกที่ผู้ตายต้องเข้าไปเพียงลำพัง เท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถเอาติดตัวจากโลกมนุษย์ได้ เว้นเสียแต่บาปกับบุญเท่านั้น
เจ็ดวันรอบแรก
วิญญาณผู้ตายต้องเดินผ่านดงหมาป่า ซึ่งมีฝูงหมาป่าดุร้ายเหมือนเสือขวางทาง เมื่อวิญญาณบาปไปถึง ก็เกิดหวาดกลัวไม่กล้าเดินต่อไป ฝูงหมาป่าเห็นดังนั้น ก็กระโจนเข้าขย้ำขบกัดวิญญาณบาปจนเลือดท่วมตัว กรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทุกขเวทนา
ส่วนวิญญาณ ผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงดงหมาป่า ก็จะมีหมู่เทวทูตคอยพิทักษ์คุ้มครอง พวกหมาป่าได้แต่นิ่งเฉย ไม่กล้าทำอะไร จึงผ่านไปได้โดยปลอดภัย
เจ็ดวันรอบที่ สอง
เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงด่านประตูผี เจ้าหน้าที่ผู้รักษาด่าน เมื่อเห็นเป็นวิญญาณบาป ก็จะทุบตีอย่างไม่ปรานี และยังมีพวกเจ้ากรรมนายเวรพากันมาทวงหนี้เวลานั้น
ส่วนวิญญาณ ผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงด่านประตูผี จะได้รับการต้อนรับและสามารถผ่านด่านนี้ไปโดยปลอดภัย
เจ็ดวันรอบที่ สาม
เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงยมโลก ถ้าเป็นวิญญาณบาปก็จะถูกโซ่ตรวนไว้ และถูกบังคับนำไปอยู่ตรงหน้าหอกระจกส่องกรรม ยามมีชีวิตทำชั่วอะไร ภาพก็จะปรากฏขึ้นเองอย่างอัตโนมัติ เสร็จแล้วก็จะถูกคุมตัวไปรับการพิจารณาโทษ ถึงวิญญาณบาปจะเริ่มสำนึกผิด ตอนนี้แต่ก็สายเสียแล้ว
ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึง จะได้รับการต้อนรับ มีเจ้าหน้าที่พาไปท่องเที่ยวนรกขุมต่างๆ และพาไปดูสภาพของบรรดาญาติพี่น้องที่ ทำบาป กำลังรอคอยการพิจารณาตัดสินความผิด
เจ็ดวันรอบที่ สี่
เมื่อมาถึงด่านภูเขากระดาษเงินกระดาษทอง การจะขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้ยากลำบากมาก กระดาษเหล่านี้ได้มาจากลูกหลานญาติพี่น้องในเมืองมนุษย์หลงงมงายเผาส่งไปให้ ทับถมกันจนเป็นภูเขาเลากา ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วแม้ผู้ตายจะได้รับก็ไร้ประโยชน์
เจ็ดวันรอบที่ ห้า
วิญญาณผู้ตายมาถึงหอดูบ้านเดิม ได้เห็นลูกหลาน คนในครอบครัวต่างไว้ทุกข์ด้วยความเศร้าโศกเสียใจกับการตายของตน ถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าตนเองตายแล้ว ไม่อาจกลับบ้านได้อีก ได้แต่เสียใจอาลัยอาวรณ์
เจ็ดวันรอบที่ หก
เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงด่านคุมบัญชี ยมบาลจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจดูบาปบุญที่ผู้ตายได้สร้างสมตอนมีชีวิต หลังจากหักลบกันแล้ว ถ้าบุญมีมากกว่าบาปก็จะให??ไปเกิดยังสุคติภูมิ ถ้าบาปมีมากกว่าบุญ จะส่งไปยังนรกภูมิ รับทุกข์อย่างน่าเวทนา
เจ็ดวันรอบที่ เจ็ด
เมื่อวิญญาณผู้ตายไปถึงด่านตรวจสอบ ยมบาลก็จะสั่งเลขาให้ตรวจสอบดูว่า ผู้ตายตอนมีชีวิตอยู่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือไม่ ถ้าได้ถือศีลกิเจ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ก็จักลหุโทษ ถ้ามัวหลงผิดฆ่าสัตว์เพื่อความสุขของปากท้องก็จะเพิ่มโทษเป็นเท่าตัว.

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็ขอให้ทุกคนในขณะมีชีวิตอยู่นั้น เร่งสะสมความดีกันให้มากๆ นรก-สวรรค์นั้น ไม่ใช่สิ่งลวงโลก ตอนนี้ท่านอาจยังไม่เห็น แต่สักวันท่านก็ต้องเห็น กฏแห่งกรรมนั้นเป็นเรื่องจริง ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ...